ลองนึกภาพเมื่อคุณก้าวเข้าไปในโรงแรมหรู แล้วทันทีที่ประตูเปิด คุณสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ชวนผ่อนคลายต้อนรับอยู่ในอากาศ กลิ่นนั้นอาจเป็นกลิ่นชาขาวหรือกลิ่นดอกไม้ประจำแบรนด์ของโรงแรม ซึ่งเพียงสูดดมก็สร้างความรู้สึกประทับใจแรกพบที่ดีให้กับคุณทันที นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นตัวอย่างของ Scent Marketing หรือการตลาดด้วยกลิ่น ที่ใช้พลังของ “ประสาทสัมผัสด้านกลิ่น” มากระตุ้นอารมณ์ ความทรงจำ และพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าอย่างแยบยล
กลิ่นหอมไม่ได้เป็นแค่ส่วนประกอบเสริมบรรยากาศเท่านั้น แต่มีบทบาทเป็นพระเอกลับที่ส่งผลต่อจิตใจของผู้บริโภคอย่างมหาศาล การวิจัยด้านประสาทสัมผัสพบว่ากลิ่นส่งผลต่อสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์และความทรงจำโดยตรง ทำให้กลิ่นสามารถกระตุ้นความรู้สึกและความทรงจำได้ลึกซึ้งกว่าประสาทสัมผัสอื่นๆ มาก ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์สามารถจดจำสิ่งที่เคยได้กลิ่นได้แม่นยำถึง 65% หลังผ่านไปหนึ่งปี ในขณะที่ความจำผ่านภาพจะเหลือเพียงประมาณ 50% หลังผ่านไปแค่สามเดือน ทีเดียว นอกจากนี้ 75% ของอารมณ์ที่เราสัมผัสในแต่ละวันมีที่มาจากกลิ่น ที่มากระทบเรา ไม่แปลกเลยที่เราจะจำช่วงเวลาหรือสถานที่บางแห่งได้ทันทีเมื่อได้กลิ่นหอมบางกลิ่นที่คุ้นเคย โดยการดมกลิ่นสามารถเรียกความทรงจำเก่า ๆ หรือความรู้สึกเดิมกลับมาได้ในพริบตา เช่น กลิ่นน้ำหอมของใครบางคนที่ทำให้คุณนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต เป็นต้น
เพราะกลิ่นมีผลโดยตรงต่อระบบลิมบิกในสมองซึ่งควบคุมอารมณ์ เราจึงพบว่ากลิ่นหอมสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของลูกค้าได้ในทันที ตัวอย่างเช่น การได้กลิ่นหอมที่น่าพึงพอใจสามารถปรับให้อารมณ์ดีขึ้นได้ถึง 40% จากงานวิจัยหนึ่ง อารมณ์ที่ดีขึ้นนี้ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมการซื้อ เพราะเมื่อลูกค้ารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข พวกเขามักใช้เวลาอยู่ในร้านนานขึ้น และเปิดใจรับสินค้าหรือบริการมากขึ้น
งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า กลิ่นหอมส่งเสริมให้ลูกค้าใช้เวลาและเงินกับธุรกิจมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การศึกษาของ Nike พบว่าการใช้กลิ่นหอมในร้านทำให้ผู้ทดลองรู้สึกว่าสินค้าน่าซื้อมากขึ้นถึง 84% และยอมจ่ายเงินมากขึ้นอีก 10-20% ในร้านที่มีกลิ่นหอม เมื่อเทียบกับร้านที่ไม่มีกลิ่น อีกตัวอย่างหนึ่งในคาสิโนที่ลาสเวกัสพบว่า พื้นที่ที่มีการกระจายกลิ่นหอม (เช่น กลิ่นดอกไม้สดชื่น) มีรายได้จากเครื่องเล่นสล็อตมากกว่าพื้นที่ไม่มีกลิ่นถึง 45% แถมผู้เล่นยังใช้เวลาอยู่ที่เครื่องเล่นนานขึ้น 40% สถิติเหล่านี้ยืนยันว่า “กลิ่น” สามารถโน้มน้าวการตัดสินใจซื้อและพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ
อีกแง่มุมที่น่าสนใจคือ กลิ่นช่วยบิดเบือนการรับรู้เวลาและสร้างบรรยากาศที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลายจนอยู่ต่อนานขึ้น มีรายงานว่าลูกค้าของ Samsung รู้สึกว่าเวลาช้อปปิ้งผ่านไปไม่นาน (undersetimate เวลาที่ใช้จริง) ถึง 26% เมื่ออยู่ในร้านที่มีการใช้กลิ่นธีมเฉพาะ เมื่อเทียบกับร้านปกติ และพวกเขายังเดินชมสินค้าหลากหลายหมวดหมู่มากขึ้นถึงสามเท่าเมื่อร้านมีกลิ่นหอมชวนดึงดูดใจ การอยู่ในร้านนานขึ้นและเดินดูของมากขึ้น ย่อมเพิ่มโอกาสการซื้อสินค้าเพิ่มเติม
นอกจากนี้ กลิ่นยังสร้างความรู้สึกถึงคุณภาพและคุณค่าให้กับสถานที่และสินค้าได้ด้วย ลูกค้ามักมองว่าร้านหรือบริเวณที่มีกลิ่นหอมมีระดับและหรูหรากว่าปกติ ผลสำรวจพบว่าผู้บริโภคประเมินสินค้าว่าพรีเมียมขึ้นเมื่อได้กลิ่นหอมประกอบ เช่น กลิ่นโทนอุ่นอย่างวานิลลาหรืออบเชยทำให้สินค้าดูมีมูลค่าขึ้นในความรู้สึกลูกค้า นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลายแบรนด์หรูหรือห้างสรรพสินค้าจึงลงทุนกับ เครื่องพ่นน้ำหอม และการออกแบบกลิ่นเฉพาะของตน เพื่อสร้างความประทับใจและภาพลักษณ์ระดับสูงแก่ลูกค้าที่เข้ามาเยือน
เพราะกลิ่นมีผลโดยตรงต่อระบบลิมบิกในสมองซึ่งควบคุมอารมณ์ เราจึงพบว่ากลิ่นหอมสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของลูกค้าได้ในทันที ตัวอย่างเช่น การได้กลิ่นหอมที่น่าพึงพอใจสามารถปรับให้อารมณ์ดีขึ้นได้ถึง 40% จากงานวิจัยหนึ่ง อารมณ์ที่ดีขึ้นนี้ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมการซื้อ เพราะเมื่อลูกค้ารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข พวกเขามักใช้เวลาอยู่ในร้านนานขึ้น และเปิดใจรับสินค้าหรือบริการมากขึ้น
งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า กลิ่นหอมส่งเสริมให้ลูกค้าใช้เวลาและเงินกับธุรกิจมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การศึกษาของ Nike พบว่าการใช้กลิ่นหอมในร้านทำให้ผู้ทดลองรู้สึกว่าสินค้าน่าซื้อมากขึ้นถึง 84% และยอมจ่ายเงินมากขึ้นอีก 10-20% ในร้านที่มีกลิ่นหอม เมื่อเทียบกับร้านที่ไม่มีกลิ่น อีกตัวอย่างหนึ่งในคาสิโนที่ลาสเวกัสพบว่า พื้นที่ที่มีการกระจายกลิ่นหอม (เช่น กลิ่นดอกไม้สดชื่น) มีรายได้จากเครื่องเล่นสล็อตมากกว่าพื้นที่ไม่มีกลิ่นถึง 45% แถมผู้เล่นยังใช้เวลาอยู่ที่เครื่องเล่นนานขึ้น 40% สถิติเหล่านี้ยืนยันว่า “กลิ่น” สามารถโน้มน้าวการตัดสินใจซื้อและพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ
อีกแง่มุมที่น่าสนใจคือ กลิ่นช่วยบิดเบือนการรับรู้เวลาและสร้างบรรยากาศที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลายจนอยู่ต่อนานขึ้น มีรายงานว่าลูกค้าของ Samsung รู้สึกว่าเวลาช้อปปิ้งผ่านไปไม่นาน (undersetimate เวลาที่ใช้จริง) ถึง 26% เมื่ออยู่ในร้านที่มีการใช้กลิ่นธีมเฉพาะ เมื่อเทียบกับร้านปกติ และพวกเขายังเดินชมสินค้าหลากหลายหมวดหมู่มากขึ้นถึงสามเท่าเมื่อร้านมีกลิ่นหอมชวนดึงดูดใจ การอยู่ในร้านนานขึ้นและเดินดูของมากขึ้น ย่อมเพิ่มโอกาสการซื้อสินค้าเพิ่มเติม
นอกจากนี้ กลิ่นยังสร้างความรู้สึกถึงคุณภาพและคุณค่าให้กับสถานที่และสินค้าได้ด้วย ลูกค้ามักมองว่าร้านหรือบริเวณที่มีกลิ่นหอมมีระดับและหรูหรากว่าปกติ ผลสำรวจพบว่าผู้บริโภคประเมินสินค้าว่าพรีเมียมขึ้นเมื่อได้กลิ่นหอมประกอบ เช่น กลิ่นโทนอุ่นอย่างวานิลลาหรืออบเชยทำให้สินค้าดูมีมูลค่าขึ้นในความรู้สึกลูกค้า นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลายแบรนด์หรูหรือห้างสรรพสินค้าจึงลงทุนกับ เครื่องพ่นน้ำหอม และการออกแบบกลิ่นเฉพาะของตน เพื่อสร้างความประทับใจและภาพลักษณ์ระดับสูงแก่ลูกค้าที่เข้ามาเยือน
กลิ่นที่เหมาะสมสามารถสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปตามบริบทของธุรกิจ Scent Marketing จึงไม่ได้มีสูตรตายตัวแบบเดียวสำหรับทุกที่ เรามาเจาะลึกกันว่าธุรกิจประเภทต่าง ๆ สามารถใช้กลิ่นหอมเพื่อประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร และกลิ่นแบบไหนที่ส่งผลดีต่อพฤติกรรมลูกค้าในแต่ละอุตสาหกรรม
สำหรับโรงแรม กลิ่นคือเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ลูกค้าจดจำได้ หลายโรงแรมชั้นนำมี “Signature Scent” หรือกลิ่นประจำแบรนด์ในล็อบบี้และห้องพัก เพื่อสร้างบรรยากาศที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของโรงแรมและทำให้แขกประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่อบอวลอยู่ทั่วโรงแรมช่วยให้แขกรู้สึกผ่อนคลาย เสริมบริการต้อนรับที่อบอุ่นให้น่าจดจำยิ่งขึ้น เมื่อแขกได้กลิ่นเดียวกันนี้อีกครั้ง (เช่น ผ่านผลิตภัณฑ์น้ำหอมของแบรนด์โรงแรม) ก็จะนึกถึงประสบการณ์ดี ๆ ที่เคยได้รับทันที ส่งผลให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว นอกจากสร้างความทรงจำแล้ว ธุรกิจโรงแรมยังใช้กลิ่นเพื่อลดความตึงเครียดและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า เช่น กลิ่นวานิลลาช่วยลดความวิตกกังวลของผู้เข้าพักได้ หรือกลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยให้นอนหลับสนิท ตอบโจทย์โรงแรมที่อยากให้แขกพักผ่อนได้เต็มที่
ที่น่าสนใจคือ กลิ่นสามารถกระตุ้นการใช้บริการอื่น ๆ ในโรงแรมได้ด้วย ตัวอย่างเช่น โรงแรมบางแห่งเลือกใช้อโรมาที่ชวนให้อยากอาหารบริเวณใกล้ห้องอาหารหรือคาเฟ่ในล็อบบี้ เช่น กลิ่นขนมปังอบใหม่หรือกลิ่นกาแฟหอมกรุ่น ซึ่งแม้ว่าครัวอาจยังไม่เปิด ลูกค้าก็ได้กลิ่นแล้วรู้สึกท้องร้องอยากลองชิม ส่งผลให้ตัดสินใจแวะรับประทานอาหารหรือขนมของโรงแรมมากขึ้น กลยุทธ์นี้ช่วยเพิ่มรายได้จากบริการอาหารและคาเฟ่ของโรงแรมได้อย่างแยบยล
ในธุรกิจอาหาร กลิ่นมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นความอยากอาหาร ทุกคนคงเคยมีประสบการณ์เดินผ่านร้านเบเกอรีหรือร้านกาแฟแล้วเผลอตามกลิ่นขนมปังอบใหม่หรือกาแฟคั่วหอม ๆ เข้าไปในร้านโดยไม่รู้ตัว กลิ่นอาหารอร่อยสามารถดึงดูดลูกค้าได้ดีกว่าป้ายโฆษณาเสียอีก เพราะสมองของเราจะเชื่อมโยงกลิ่นกับรสชาติและความพึงพอใจในการกินทันที ร้านอาหารที่มีกลิ่นหอมชวนหิวในบรรยากาศ (เช่น กลิ่นซินนามอนจากขนมอบ หรือกลิ่นซุปหอม ๆ) มักจะดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้านและสั่งอาหารมากขึ้น เคล็ดลับหนึ่งของร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังอย่าง Cinnabon คือการตั้งเตาอบซินนามอนโรลไว้หน้าร้าน และใช้เครื่องดูดควันที่ไม่แรงนักเพื่อให้กลิ่นหอมของอบเชยฟุ้งกระจายออกมานอกร้านตลอดเวลา ผลคือคนที่เดินผ่านไปมาต้องเหลียวมองและหลายคนก็อดใจไม่ไหวต้องแวะซื้อ ความหอมทำหน้าที่เป็นพนักงานขายที่มองไม่เห็นเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอาหารต้องใช้กลิ่นอย่างระมัดระวัง ความหอมที่มากเกินไปหรือไม่เข้ากับประเภทอาหารอาจเกิดผลลบ ได้ เช่น ร้านอาหารหรูไม่ควรใช้เครื่องพ่นกลิ่นที่ฉุนเกินไปจนกลบกลิ่นรสของอาหาร หรือคาเฟ่ไม่ควรมีกลิ่นแปลกปลอมที่ไม่เกี่ยวกับอาหาร/เครื่องดื่ม เพราะจะทำให้ลูกค้าสับสนหรือรู้สึกไม่เจริญอาหาร สิ่งสำคัญคือใช้กลิ่นที่สอดคล้องกับเมนูหรือบรรยากาศ เช่น ร้านขนมปังควรมีกลิ่นขนมอบ ร้านกาแฟควรมีกลิ่นกาแฟคั่ว เป็นต้น หากต้องการเพิ่มบรรยากาศ ควรเลือกเครื่องกระจายน้ำหอมที่ให้กลิ่นบางเบา เพิ่มความรู้สึกอบอุ่นและสะอาด เช่น กลิ่นวานิลลาหรืออบเชยอ่อน ๆ ที่เข้ากับบรรยากาศร้านอาหาร จะช่วยเสริมให้ลูกค้ารู้สึกอาหารอร่อยและคุณภาพดีขึ้น (มีงานวิจัยพบว่ากลิ่นวานิลลาในร้านเบเกอรีทำให้ลูกค้าประเมินขนมว่าดูสดใหม่และอร่อยขึ้นด้วย)
ในธุรกิจค้าปลีก การสร้างบรรยากาศด้วยกลิ่นเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้ง ร้านค้าที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวจะทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ง่ายและอยากกลับมาเยือนอีก งานศึกษาพบว่าลูกค้ามีแนวโน้มกลับมาใช้บริการซ้ำในร้านที่มีกลิ่นหอมที่ชอบมากกว่าร้านที่ไม่มีกลิ่น เพราะกลิ่นได้สร้างความผูกพันทางอารมณ์ไว้แล้ว นอกจากนี้ กลิ่นยังช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าอยากเดินดูสินค้านานขึ้นและสร้างความรู้สึกผ่อนคลายขณะเลือกซื้อสินค้า ตัวอย่างที่ชัดเจนคือร้านเครื่องกีฬา Nike ที่ทดลองฉีดพ่นกลิ่นหอมเบา ๆ ในโซนสินค้ารองเท้า ผลคือไม่เพียงลูกค้าจะประเมินสินค้าว่าดูดีขึ้น แต่ยังรู้สึกว่าร้านมีคุณภาพสูงขึ้นและเต็มใจใช้เวลาลองรองเท้านานกว่าเดิม ส่งผลให้ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
กลยุทธ์สำคัญสำหรับร้านค้าปลีกคือ เลือกกลิ่นให้เข้ากับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย เช่น ร้านเสื้อผ้าวัยรุ่นอาจใช้กลิ่นหอมสดชื่นหรือกลิ่นผลไม้ที่ให้ความรู้สึกสนุกสนาน มีชีวิตชีวา ตรงกับภาพลักษณ์วัยรุ่น ขณะที่โชว์รูมรถยนต์อาจเลือกใช้กลิ่นหนังใหม่หรือกลิ่นไม้ขัดเงาอ่อน ๆ เพื่อสื่อถึงคุณภาพและความหรูหรา การใช้กลิ่นที่สอดคล้องกับสินค้าจะช่วยให้ลูกค้า “อิน” กับประสบการณ์การช้อปปิ้งมากขึ้น สมองของลูกค้าจะจับคู่กลิ่นกับสินค้านั้นๆ อย่างกลมกลืน (เช่น กลิ่นสัมผัสของรองเท้าหนังแท้ในร้านกระเป๋า/รองเท้าจะทำให้รู้สึกถึงความพรีเมียมของสินค้าได้ทันที) ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการใช้กลิ่นที่ไม่เข้ากับสินค้า เช่น ร้านเครื่องกีฬาแต่ใช้กลิ่นดอกไม้หวานจัด หรือร้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แต่ใช้กลิ่นอาหาร สิ่งเหล่านี้อาจสร้างความรู้สึกขัดแย้งให้ลูกค้าและลดความน่าเชื่อถือของแบรนด์ลงได้
นอกจากนี้ มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจจากร้าน Sony Store ซึ่งต้องการดึงดูดลูกค้าผู้หญิงให้รู้สึกผ่อนคลายขณะเลือกซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจดูเป็นของเทคนิคจ๋า ร้านจึงเลือกใช้กลิ่นหอมผสมระหว่างส้มแมนดารินกับวนิลาอ่อน ๆ กระจายทั่วร้าน ผลคือบรรยากาศของร้านดูละมุนขึ้น และลูกค้าผู้หญิงรู้สึกเพลิดเพลินและใช้เวลาเลือกซื้อนานขึ้นโดยไม่รู้สึกเกร็ง สร้างยอดขายที่ดีขึ้นให้ร้านอย่างไม่น่าเชื่อ
แม้ธุรกิจสำนักงานอาจไม่ได้เน้นการขายของหน้าร้านเหมือนค้าปลีก แต่ บรรยากาศในที่ทำงานที่หอมสะอาดน่าอยู่มีผลทั้งต่อพนักงานและความประทับใจของลูกค้าที่มาติดต่อ บริษัทที่มีพื้นที่ต้อนรับหรือโถงล็อบบี้หอมสะอาดจะสร้างความรู้สึกเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่เป็นมืออาชีพให้แก่ผู้มาเยือน กลิ่นหอมอ่อน ๆ เช่น กลิ่นชาเขียวหรือกลิ่นดอกไม้จาง ๆ สามารถทำให้แขกรู้สึกผ่อนคลาย ลดความตึงเครียดขณะรอพบเจ้าหน้าที่ และมององค์กรในแง่บวกมากขึ้น
สำหรับพนักงานในสำนักงาน กลิ่นที่เหมาะสมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความสุขในการทำงาน ได้ มีรายงานจากบริษัทในญี่ปุ่นที่ทดลองใช้กลิ่นต่าง ๆ ในห้องทำงาน พบว่าการอบร่ำกลิ่นมะนาวอ่อน ๆ ในสำนักงานช่วยกระตุ้นสมาธิและเพิ่มประสิทธิภาพการพิมพ์งานได้ถึง 54% ขณะเดียวกันการใช้กลิ่นลาเวนเดอร์หรือจัสมินช่วยลดความเครียดของพนักงานลงอย่างชัดเจน ทำให้พนักงานรู้สึกสงบและลดข้อผิดพลาดในการทำงาน นอกจากนี้กลิ่นโรสแมรี่หรือเปปเปอร์มินต์ยังขึ้นชื่อว่าช่วยเพิ่มความตื่นตัวและความจำระยะสั้น ซึ่งอาจใช้ในห้องประชุมหรือพื้นที่ที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้ทีมงานรู้สึกปลอดโปร่งพร้อมลุยงาน
สรุปคือ การสร้างบรรยากาศสำนักงานที่ดีด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ (ผ่าน เครื่องพ่นกลิ่น หรือระบบกระจายกลิ่นอัตโนมัติ) ไม่เพียงช่วยให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพขึ้น แต่ยังสะท้อนความใส่ใจขององค์กรในการดูแลรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจที่มาเยือนอีกด้วย
กลิ่นวานิลลาในสถานพยาบาลหรือสปา: งานวิจัยพบว่ากลิ่นวนิลาอ่อน ๆ มีผลในการช่วยลดความวิตกกังวลของผู้คนได้ดี ตัวอย่างเช่น ในห้องตรวจ MRI ที่บางคนอาจรู้สึกอึดอัด การกระจายกลิ่นวานิลลาสามารถลดอาการคลายความกลัวที่แคบ (claustrophobia) และทำให้ผู้ป่วยสงบลง ส่งผลให้ยอดการยกเลิกนัดตรวจลดลงด้วย (เนื่องจากคนไข้ผ่อนคลายและกล้าตรวจมากขึ้น)
กลิ่นขนมปังอบใหม่ในซูเปอร์มาร์เก็ต: เคยสังเกตไหมว่ามุมเบเกอรี่มักตั้งอยู่หน้าทางเข้าหรือกลางร้าน และมักอบขนมปังร้อน ๆ ตลอดเวลา กลิ่นหอมกรุ่นของขนมปังอบสดใหม่เหล่านี้กระจายไปทั่วบริเวณ ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารและดึงดูดให้ลูกค้าเดินเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัว ผลคือเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะหยิบสินค้าอื่น ๆ ระหว่างที่เดินตามกลิ่นเข้าไป และมักลงเอยด้วยการซื้อขนมปังหรือขนมอบติดไม้ติดมือเสมอ ซึ่งเพิ่มยอดขายให้ซูเปอร์มาร์เก็ตได้ไม่น้อย
กลิ่นหนังแท้ในโชว์รูมรถยนต์: สำหรับธุรกิจยานยนต์ “กลิ่นรถใหม่” เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ลูกค้าคาดหวัง บ่อยครั้งที่โชว์รูมรถหรือร้านเฟอร์นิเจอร์หนังจะใช้เครื่องกระจายกลิ่นที่ให้กลิ่นหนังแท้อ่อน ๆ อบอวลไปทั่วห้อง แท้จริงแล้วรถบางรุ่นหรือเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นอาจผลิตจากวัสดุสังเคราะห์ แต่การเสริมกลิ่นหนังเข้าไปช่วยทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความหรูหราและคุณภาพของสินค้าแบบไม่รู้ตัว และมีแนวโน้มจะตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นเพราะได้รับประสบการณ์ครบทุกประสาทสัมผัส
กลิ่นมะลิและดอกไม้ไทยในธุรกิจบริการไทย: โรงแรม ร้านอาหาร หรือสปาไทยที่ต้องการเน้นเอกลักษณ์ความเป็นไทย มักเลือกใช้กลิ่นมะลิ, กลิ่นดอกจำปี, หรือกลิ่นสมุนไพรไทยอ่อน ๆ ในการสร้างบรรยากาศ สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้ลูกค้าต่างชาติรับรู้ถึงความเป็นไทยผ่านการดมกลิ่น แต่ยังทำให้คนไทยเองรู้สึกคุ้นเคย อบอุ่นใจ เหมือนอยู่บ้านเกิด ส่งผลให้ลูกค้าทุกกลุ่มรู้สึกประทับใจกับประสบการณ์ที่ได้รับและมีโอกาสกลับมาใช้บริการอีก
Q1: ทำไมกลิ่นถึงทรงพลังต่อความรู้สึกและความจำมากกว่าประสาทสัมผัสอื่น?
A1: เนื่องจากระบบประสาทการดมกลิ่น (olfactory system) เชื่อมต่อโดยตรงกับสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์และความทรงจำ (อะมิกดาลาและฮิปโปแคมปัส) ซึ่งประสาทสัมผัสอื่นเช่น การมองเห็นหรือการได้ยินต้องประมวลผลหลายขั้นตอนกว่า สมองจึงตีความกลิ่นได้ทันทีและเชื่อมโยงกับอารมณ์หรือความทรงจำอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น เราอาจได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นหนึ่งแล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนได้ทันที นอกจากนี้งานวิจัยยังยืนยันว่าคนเราจดจำสิ่งที่เคยดมกลิ่นได้แม่นยำในระยะยาวมากกว่าสิ่งที่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อนด้วย ฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักการตลาดจะใช้กลิ่นในการสร้างประสบการณ์ที่ลูกค้าจะ “ไม่ลืม”
Q2: เพศชายและเพศหญิงตอบสนองต่อกลิ่นเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
A2: มีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า ผู้หญิงโดยเฉลี่ยมีประสาทรับกลิ่นที่ไวและจำแนกกลิ่นได้ดีกว่าผู้ชาย นั่นหมายความว่าผู้หญิงสามารถรับรู้รายละเอียดของกลิ่นและอาจมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ต่อกลิ่นชัดเจนกว่า นอกจากนี้ผู้หญิงยังมักเชื่อมโยงกลิ่นกับความรู้สึกได้รวดเร็ว เช่น กลิ่นหอมบางอย่างสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของผู้หญิงได้ทันที ในขณะที่ผู้ชายอาจจะไม่รู้สึกชัดเจนเท่า อย่างไรก็ตาม ทั้งชายและหญิงต่างก็ได้รับอิทธิพลจากกลิ่นในทางบวกเหมือนกัน เพียงแต่อาจมีความชอบกลิ่นแตกต่างกันตามรสนิยมและประสบการณ์ เช่น จากการสำรวจพบว่าผู้ชายมักชอบกลิ่นแนวสดชื่นเย็น ๆ หรือกลิ่นหนัง เครื่องเทศ ในขณะที่ผู้หญิงจำนวนมากชอบกลิ่นหวานหรือกลิ่นดอกไม้มากกว่า ดังนั้นธุรกิจที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นเพศใดเพศหนึ่ง ควรเลือกใช้กลิ่นที่ตรงใจกลุ่มลูกค้านั้น ๆ มากที่สุด และควรทดสอบปฏิกิริยาของทั้งสองเพศก่อนเพราะบางครั้งกลิ่นที่คิดว่าใครๆ ก็ชอบ อาจถูกใจเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็ได้
Q3: Scent Marketing สามารถเพิ่มยอดขายได้จริงหรือ? มีตัวอย่างอะไรบ้าง?
A3: เพิ่มได้จริงแน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเลือกกลิ่นและการนำไปใช้ที่เหมาะสม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น ศูนย์การค้าและร้านค้าปลีกหลายแห่งพบว่าลูกค้าอยู่ในร้านนานขึ้นและซื้อสินค้าเยอะขึ้นเมื่อร้านมีกลิ่นหอมที่สร้างบรรยากาศดีๆ อย่างกรณีศึกษาของห้างหนึ่งที่ปล่อยกลิ่นหญ้า freshly cut ในโซนขายอุปกรณ์สวน ผลคือมีลูกค้าแวะเข้ามาโซนนั้นมากขึ้นและรู้สึกว่าสินค้าในโซนนี้น่าสนใจขึ้น อีกตัวอย่างคือ คาสิโนในลาสเวกัสที่เพิ่มกลิ่นหอมในโซนสล็อตแมชชีน ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นถึง 45% อย่างที่กล่าวไปข้างต้น หรือกรณีไนต์คลับในลอนดอนที่ต้องการโปรโมทเครื่องดื่มค็อกเทลมะพร้าว ก็ใช้วิธีปล่อยกลิ่นมะพร้าวหอมบาง ๆ ในร้าน ผลปรากฏว่ายอดขายเครื่องดื่มตัวนั้นเพิ่มขึ้นเท่าตัวเลยทีเดียว เหล่านี้คือหลักฐานว่า Scent Marketing เมื่อใช้อย่างถูกวิธี สามารถกระตุ้นให้ลูกค้าจับจ่ายและมีส่วนร่วมกับสินค้ามากขึ้นจริง
Q4: เราควรเลือกกลิ่นอย่างไรให้เหมาะกับธุรกิจหรือแบรนด์ของเรา?
A4: การเลือกกลิ่นสำหรับแบรนด์ควรเริ่มจากการพิจารณา ภาพลักษณ์และความรู้สึกที่อยากให้ลูกค้าได้รับ จากแบรนด์ของคุณ ก่อนอื่นถามตัวเองว่าธุรกิจของคุณต้องการให้ลูกค้ารู้สึกแบบไหนเมื่อเข้ามา เช่น สดชื่นตื่นตัว (เหมาะกับฟิตเนสหรือคาเฟ่ตอนเช้า อาจเลือกกลิ่นซิตรัสหรือเปปเปอร์มินต์), ผ่อนคลายอบอุ่น (เหมาะกับสปา โรงแรม รีสอร์ต เลือกกลิ่นลาเวนเดอร์ วานิลลา), หรูหราและน่าเชื่อถือ (เหมาะกับร้านเครื่องประดับ รถยนต์ อาจเลือกกลิ่นหนัง ไม้ซีดาร์ หรือดอกไม้หอมละมุน) หรือ สนุกสนานมีชีวิตชีวา (เหมาะกับร้านเสื้อผ้าวัยรุ่น บาร์ เลือกกลิ่นผลไม้หรือกลิ่นทะเลที่สดใส) นอกจากนั้นต้องคำนึงถึง ความสอดคล้อง (congruence) ระหว่างกลิ่นกับสินค้าหรือบริการของคุณด้วย กลิ่นที่เลือกควรไปในทิศทางเดียวกับสิ่งที่คุณขายและความคาดหวังของลูกค้า เช่น ร้านเบเกอรีควรมีกลิ่นขนม/วนิลา ร้านขายอุปกรณ์ทำความสะอาดอาจเสริมกลิ่นเลมอนที่ให้ความรู้สึกสะอาดสดชื่น เมื่อกลิ่น “เข้ากัน” กับบริบท ลูกค้าจะรู้สึกเชื่อมโยงอย่างเป็นธรรมชาติและประทับใจโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้ากลิ่นไม่สอดคล้อง เช่น ร้านกีฬาใช้กลิ่นดอกไม้หวาน อาจทำให้ลูกค้าสับสนและลดทอนความน่าเชื่อถือของร้านลงได้เช่นกัน ดังนั้นควรทดลองกลิ่นหลาย ๆ แบบและเก็บฟีดแบ็กจากลูกค้า แล้วจึงเลือกกลิ่นที่ใช่ที่สุดสำหรับแบรนด์ของคุณ
Q5: ถ้าต้องการเริ่มใช้ Scent Marketing ในธุรกิจของตัวเอง ควรทำอย่างไร?
A5: ขั้นแรกคุณควรหา “Signature Scent” หรือกลิ่นประจำแบรนด์ที่ลงตัวกับธุรกิจคุณก่อน อาจเริ่มจากการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอมหรือ บริษัทที่ให้บริการ Scent Marketing โดยเฉพาะ พวกเขาจะช่วยแนะนำว่ากลิ่นไหนเหมาะกับภาพลักษณ์แบรนด์และพื้นที่ของคุณ จากนั้นจึงวางแผนว่าจะใช้กลิ่นในจุดใดของสถานที่บ้าง (เช่น โซนต้อนรับ ห้องขายสินค้า ห้องพัก เป็นต้น) และควบคุมความเข้มข้นอย่างไรเพื่อไม่ให้มากหรือน้อยเกินไป ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ คุณควรลงทุนใน เครื่องกระจายกลิ่น หรือ เครื่องพ่นน้ำหอม คุณภาพสูงที่ออกแบบมาสำหรับใช้ในเชิงพาณิชย์ เพราะเครื่องระดับมืออาชีพจะกระจายความหอมได้สม่ำเสมอครอบคลุมพื้นที่กว้าง และมักตั้งเวลาและระดับความเข้มได้ตามต้องการ ซึ่งดีกว่าการใช้สเปรย์ฉีดมือหรือเครื่องหอมตามบ้านที่ควบคุมยาก นอกจากนั้น อย่าลืมฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจถึงความสำคัญของกลิ่นในแบรนด์ของคุณ เพื่อที่ทุกคนจะได้ช่วยกันรักษามาตรฐานความหอมนี้ไว้อย่างต่อเนื่อง สุดท้าย เมื่อพร้อมแล้วก็เริ่มทดลองใช้กลิ่นในธุรกิจของคุณ พร้อมเก็บความคิดเห็นจากลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงให้ Scent Marketing ของคุณมีประสิทธิภาพที่สุด
หากคุณกำลังมองหาวิธีนำพลังของกลิ่นมาใช้ยกระดับธุรกิจของคุณ Moose & Pine ยินดีให้บริการครบวงจรด้าน Scent Marketing อย่างมืออาชีพ เราเชี่ยวชาญในการออกแบบและติดตั้งระบบกระจายกลิ่นหอมสำหรับธุรกิจหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร หรือสำนักงาน ทีมงานของเราจะช่วยคุณเลือกสรรกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เหมาะกับแบรนด์ของคุณ และจัดหาอุปกรณ์ เครื่องพ่นน้ำหอม/เครื่องกระจายน้ำหอม คุณภาพสูงที่ปรับตั้งค่าได้ตามต้องการ พร้อมบริการดูแลบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง คุณจึงมั่นใจได้ว่าบรรยากาศหอม ๆ ในพื้นที่ธุรกิจจะคงที่เสมอ
ถึงเวลาแล้วที่คุณจะเปลี่ยนประสบการณ์ของลูกค้าให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้นด้วยการตลาดเชิงประสาทสัมผัสอย่าง Scent Marketing มาเพิ่มยอดขายและสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้ลูกค้าของคุณด้วย “กลิ่น” ไปกับ Moose & Pine ติดต่อเราวันนี้เพื่อปรึกษาฟรี และให้เราช่วยสร้างบรรยากาศหอมๆ ที่ใช่สำหรับแบรนด์ของคุณ — กลิ่นหอมที่ลูกค้าจะหลงรักและจดจำคุณไปแสนนาน!